ระบบราชการไทยภายใต้รัฐบาล “หน้ากากผู้ดี” ถูกกระชากหน้ากากอีกครั้ง มีการเปิดโปงคดีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถูกหน่วยปราบปรามของฝ่ายตำรวจ ปปป. และ ป.ป.ช. บุกเข้าจับกุมที่ห้องทำงาน พร้อมด้วยเงินสดเกือบ 5 ล้านบาท กล่าวหาเป็นการซื้อขายตำแหน่ง
อีกหลายวันต่อมา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ได้หอบเอกสารหลักฐาน 53 แผ่น ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคดีมีการกล่าวหาอธิบดีเป็นฉากๆ เริ่มตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการครั้งใหญ่
นายชัยวัฒน์ได้รับร้องเรียนจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ได้รับความเดือดร้อน เพราะมีการเคาะกะลา ให้นำเงินไปจ่ายเพื่อรักษาตำแหน่ง มีการเก็บเงินทั้งรายเดือน และจ่ายในลักษณะเป็นเงินทอน จากงบประมาณ เช่นงบ 100 บาท ต้องจ่าย 18.50 บาท ส่วนเงินรักษาตำแหน่งไม่ให้ถูกย้าย ต้องจ่าย 3 แสนบาทขึ้นไป
กรมอุทยานฯได้รับยกย่องจากหน่วยงานผู้ตรวจสอบ ยกให้เป็นกรมเกรดเอ ได้คะแนนเต็มร้อย แต่มีเรื่องร้องเรียนเรื่องการรับส่วย ทำให้นายชัยวัฒน์ทนไม่ไหว จึงเข้าร้องเรียนต่อหลายฝ่าย รวมทั้งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เลขาธิการ ป.ป.ท. เลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบและยับยั้ง
น่าแปลกใจที่ได้รับคำตอบจากปลัดกระทรวง บอกไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบเรื่องมาก่อน หากมีหลักฐานให้นำมาแสดง คำพูดของปลัดกระทรวงอาจกระตุ้นให้นายชัยวัฒน์ฮึด จึงร่วมมือกับผู้ใต้บังคับ บัญชา รวบรวมหลักฐาน “การล่อซื้อ” ตำแหน่ง เป็นเงิน 98,000 บาท กลายเป็นหลักฐานสำคัญในวันที่อธิบดีถูกจับกุม
การส่งส่วยนาย หรือการซื้อขายตำแหน่งในวงราชการ เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติมาช้านาน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น ในกรมเกรดเอ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการพิทักษ์ทรัพยากรของชาติ เงินที่ต้องจ่ายมีทั้งเงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน และเงินส่วนตัวของข้าราชการผู้น้อย จึงถือว่าเป็นการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนานแท้
เป็นการตอกย้ำความเป็นระบอบ “ธนาธิปไตย” ของไทย ข้าราชการอยากได้ตำแหน่งต้องซื้อด้วยเงิน เมื่อเร็วๆนี้ การสอบเข้าโรงเรียนตำรวจก็ต้องจ่ายเงินให้นักโกงข้อสอบ นักการเมือง หรือ ส.ส. อยากชนะเลือกตั้ง ต้องแปลงร่างเป็นงูเห่า ไม่มีใครเกรงกลัว ป.อาญามาตรา 149 ที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต.