ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – เงื้อง่าราคาแพงตามสไตล์ “ลุงตู่”
หลังประกาศรับเทียบเชิญเข้าร่วมงานทางการเมืองกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ได้ตอบรับเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“วันนี้ทางพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้เสนอมาแล้วว่ายินดีสนับสนุนนายกฯ คือผมให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้นไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป ให้เกิดความเสียหายหลายอย่างด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไว้วันนั้น
พร้อมๆ กับมีกระแสว่า งวดนี้ “นายกฯ ตู่” จะเลิกลอยตัว พร้อมลงมาเล่นเป็น “นักการเมือง” เต็มตัว ด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ
ต้องบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วเส้นทางการเมืองของ “พล.อ.ประยุทธ์” กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะเดิมทีพรรคนี้ซึ่งมี “แรมโบ้” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำนายกรัฐมนตรี ไปเป็นธุระจัดตั้งขึ้น ก็มีเป้าประสงค์ชัดเจนว่า ก่อตั้งมาเพื่อรองรับ “บิ๊กตู่” กับการเดินหน้าสานต่อภารกิจในตำแหน่งนายกฯ สมัยที่ 3
หรือการแต่งตั้ง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค เป็นที่ปรึกษานายกฯ ก่อนจะมาเป็นเลขาธิการนายกฯ ในตอนนี้ รวมไปถึง “ดร.สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ผละออกจากพรรคประชขาธิปัตย์ เพื่อมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มากินตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ชื่อพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ก็มาจากมอตโต้ที่กลั่นออกจากตัว “นายกฯ ตู่” เองในช่วงหลังววิกฤตการณ์โควิด-19
ดังนั้น ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งตั้งแต่ต้นแล้วว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะมาลงเอยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ
หากแต่เมื่อไม่มีความไม่ชัดเจนออกจากปาก “บิ๊กตู่” ก็ทำให้มีข่าวเสี้ยม-ข่าวแซะ ออกมาสารพัด ทั้งการเปลี่ยนใจกับไปร่วมหัวจมท้ายกับ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั่งร้านเก่าที่เคยส่งกลับขึ้นเก้าอี้นายกฯ หนที่ 2 เมื่อเลือกตั้งปี 2562
หรือข่าวที่เสี้ยมไปถึงขนาดว่า “นายกฯ ตู่” ถอดใจ และเตรียมลงจากหลังเสือ วางมือทางการเมือง ตามปีเสือ 2565 ที่เผ่นไปแล้ว
เมื่อข่าวเสี้ยม-ข่าวแซะ เริ่มหนาหู ก็ทำให้ “ค่ายรวมไทยฯ” ชัดจะเสียขบวน เสมือนเป็นการบีบให้ “บิ๊กตู่” ต้องออกมาประกาศความชัดเจนทางการเมืองด้วยตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่ก่อนหน้าเมื่อถูกถามถึงเส้นทางการเมืองมักจะเบี่ยงประเด็น ด้วยการแสดงอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวทุกครั้ง
ทว่า หลังการประกาศร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คำถามก็มีต่อว่า แล้ว “บิ๊กตู่” จะเข้าไปสมัครสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการเมื่อไร ก็นำมาซึ่งความฉุนเฉียวของเจ้าตัวทุกครั้งที่ได้ยินคำถามจากสื่อ
กระทั่งต้องมี “ข่าวปล่อย” มาจากในพรรคเองว่า “นายกฯ ประยุทธ์” เตรียมสมัครเป็นสมาชิกวันนั้น-วันนี้ออกมาเป็นระยะ
กระทั่งล่าสุด ก็เหมือนเคาะฤกษ์งามยามดีลงตัว เมื่อ “พีระพันธุ์” ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาคอนเฟิร์มกระแสข่าวว่า ได้หารือร่วมกับแกนนำพรรค เพื่อกำหนดรูปแบบการเปิดตัว “นายกฯ ตู่” ที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรค และเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 มกราคม 2565
ระดับนี้ต้องไม่ธรรมดา จัดอีเว้นท์เปิดตัวยิ่งใหญ่หลังเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นเวลานอกราชการ เจาะจงใช้ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเพิ่งใช้จัดการประชุมเอเปค 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เป็นสถานที่เปิดตัว “นายกฯประยุทธ์”
โดยมีการปรับเปลี่ยนสถานที่จากเดิม จะใช้หอประชุมมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี แต่เปลี่ยนมาเลือก “ศูนย์ฯ สิริกิติ์” เพื่อตอกย้ำภาพความสำเร็จบนเวทีระดับโลกนั่นเอง
ทั้งนี้ จะมีการระดมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. รวมไปถึง ส.ส.ปัจจุบันจากต่างพรรค อาทิ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมเปิดตัวในงานวันเดียวกันด้วย เพื่อขับภาพความยิ่งใหญ่ของพระเอกในงานอย่าง “ลุงตู่” ด้วย
และ “พีระพันธุ์” ยังบอกด้วยว่า หลังจากสมัครเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อยแล้ว “พล.อ.ประยุทธ์” จะนำพรรคหาเสียงด้วยตัวเองในทุกพื้นที่ โดยใช้เวลานอกราชการ และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
ถือเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนจากสมัยที่ใช้ “พลังประชารัฐ” เป็นนั่งร้านเมื่อเลือกตั้งปี 2562 ที่ “ลุงตู่” ซึ่งเป็นแคมเปญหลักในการหาเสียง แต่ไม่เคยมีส่วนร่วมในการลงพื้นที่หาเสียงแต่อย่างใด และมาในบนเวทีปราศรัยช่วงโค้งสุดท้ายเท่านั้น
จริงๆ ตั้งแต่ก่อนมีความชัดเจนในการลุยงานการเมืองในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ “บิ๊กตู่” เองก็ได้ถือโอกาสสวมหมวกนายกฯ ลงพื้นที่หยั่งกระแสเบื้องต้นในหลายจังหวัดแล้ว อาทิ การไปตรวจน้ำท่วมในพื้นที่ จ.สงขลา หนึ่งในพื้นที่เป้าหมายของพรรครวมไทยสร้างชาติ
โดยมีบรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ ศาสตรา ศรีปาน-พยม พรหมเพชร-ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี จากพรรคพลังประชารัฐ เจือ ราชสีห์ จากพรรคประชาธิปัตย์
รวมทั้ง ปรีชา สุขเกษม ผู้ประสานงานเครือข่ายคนรักเมืองสงขลา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 5 สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ มาร่วมต้อนรับ
ก่อนที่นำคณะไปหยั่งกระแสที่พื้นที่ภาคเหนือ ถิ่นของ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ จ.เชียงราย โดยมี “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษากรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร ที่รับหน้าเสื่อดูแลพื้นที่ภาคเหนือให้กับ “ค่ายลุงตู่” นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรครวมไทยสร้างชาติ มาร่วมต้นรับ และแนะนำตัวให้นายกฯ รู้จักด้วย
รวมถึงในวันที่ 6 มกราคม 2566 นายกฯ ก็ได้นำคณะไปลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งมี “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่คาดว่าจะยังอยู่กับ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ เป็นเจ้าถิ่น แต่คณะที่ติดตามนายกฯ ไปล้วนแล้วแต่เป็น “คนรวมไทยฯ” ทั้งสิ้น อาทิ “เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ “เสี่ยตุ๋ย-พีระพันธุ์” เลขาฯข้างกาย
จุดที่ถูกจับตาเหนือกว่าการเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติของ “บิ๊กตู่” คือความสัมพันธ์ระหว่าง “น้องตู่-พี่ป้อม” ว่ายังแนบแน่นกันดังที่ป่าวประกาศมาหลายครั้งหรือเปล่าต่างหาก
เพราะทุกคำถามเกี่ยวกับการไปสร้างดาวดวงใหม่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มักถูกห้อยต่อท่อนสร้อยด้วยความสัมพันธืกับ “พี่ป้อม” ซึ่งตัว “นายกฯ ประยุทธ์” เองก็รู้ดี ยามตอบคำถามการเมืองครั้งใด ก็จะติดปลายนวมยืนยันความสัมพันธ์ “พี่น้อง 2 ป.” โดยตลอด
อย่างเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ประกาศร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ “บิ๊กตู่” ก็ระบุด้วยว่า ได้มีการพูดคุยกับ “บิ๊กป้อม” แล้ว ซึ่งเรามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ได้โกรธเคืองหรือมีความขัดแย้ง แต่เพื่อให้การเลือกตั้งมีความชัดเจนทางการเมืองขึ้น
“อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้ง ลึกซึ้งยิ่งกว่าและผมก็จบมาก็อยู่ในการดูแลของท่าน และท่านก็เป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนแรกในการที่ผมจบจากโรงเรียนในร้อยไปแวะรับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตรับราชการมาจนถึงวันนี้ ความผูกพันอันนี้มันไม่มีใครลบล้างผมได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกัน และท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร”
หรือเมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2566 ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจมีรายงานว่า “นายกฯประยุทธ์” ได้เดินทางเข้าไปที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ เพื่ออวยพร “พล.อ.ประวิตร” เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2566 โดยเป็นการเข้าไปที่ “รังลุงป้อม” อีกครั้ง หลังจากที่มีรายงานว่าระยะหลัง “น้องเล็ก” เว้นวรรคไม่ได้เป็น “แขกประจำ” ที่บ้านป่ารอยต่อฯ มาระยะหนึ่งแล้ว โดยล่าสุดเป็นการเข้าไป “กราบลา” ว่าเตรียมตัวไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ช่วงหลังการประชุมเอเปก 2022 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
โดย “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ออกมายอมรับเองว่า ได้เข้าไปพบและอวยพร “พี่ป้อม” จริง และเปิดเผยว่า “ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เคยทะเลาะกัน เมื่อวันเสาร์ อาทิตย์ ผมก็ไปคุยกับท่านมา นั่งกันอยู่เป็นชั่วโมง ก็คุยกระเซ้าเย้าแหย่กันเหมือนเดิม ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”
ทั้งยังย้ำคีย์เวิร์ดด้วยว่า ใจยังถึงใจ เรื่องการเมืองก็ว่ากันไป ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
ไม่เพียงเท่านั้น วันเดียวกัน “ทีมงานลุงตู่” ยังจัดแจงปล่อยภาพ “เอ็กซ์คลูซีฟ” ในห้องรับรองสีเหลือง ตึกสันติไมตรี เป็นภาพที่ “ประยุทธ์-ประวิตร” และ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นั่งพักผ่อนอยู่ภายในก้องดังกล่าวกันตามปกติ ช่วงก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นัดแรกของปี 2566
เป็นลักษณะภาพแอบถ่ายที่จงใจให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” ยังแน่นปึ้กเช่นเดิม
สะท้อนให้เห็นว่า แม้ “นายกฯ ตู่” จะชัดเจนในการ “เดินหน้า” ไปกับ “รวมไทยสร้างชาติ” แล้วแต่ยัง “พะวงหลัง” ในความสัมพันธ์กับ “พี่ใหญ่ป้อม”
เหตุเพราะรู้ดีว่า นั่งร้านใหม่อย่าง พรรครวมไทยสร้างชาติ ลำหักลำโค่นยังไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อกรกับ “ขั้วตรงข้าม” ดังนั้นบารมีทางการเมืองของ “พี่ป้อม” ยังคงมีความสลักสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ยังคงต้องพึ่งพาฐานของพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึง “พรรค ส.ว.” ที่อยู่ในซีกของ “พี่ใหญ่” ด้วย
ท่ามกลางกระแสข่าว “ซูเปอร์ดีล” ระหว่าง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย กับ “ค่ายลูงป้อม” พรรคพลังประชารัฐที่อาจจะจับมือร่วมวกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง อันเป็นกระแสข่าวหนาหูในช่วงเปลั้ยนปผ่านข้ามปี ซึ่ง “นายใหญ่ดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร บินมาฉลองปีใหม่กับครอบครัวที่เกาะฮ่องกง
จนมีข่าวว่า “บิ๊กเนมค่ายลุงป้อม” บินไปร่วมวงสังสรรค์ และพูดคุยถึงการแบ่งเค้กหลังการเลือกตั้งล่วงหน้าแล้ว
ยิ่งทางฟากพรรคเพื่อไทยออกลูกทะแม่งๆ เลือกปฏิบัติกับเพื่อร่วมฝ่ายค้าน “ค่ายก้าวไกล” ปิดกับ พรรคพลังประชารัฐ ที่ถือเป็นศัตรู ก็ทำให้เสียงลือยิ่งหนาหู
กล่าวคือ ครั้งที่พรรคก้าวไกลทอดไมตรีร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้ง กลับมี “คนเพื่อไทย” ออกมาตีกันว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ต่างเคลมว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” เหมือนกัน
เหตุที่พรรคเพื่อไทยไม่ขอรับไมตรีจากพรรคก้าวไกล ก็เดาไม่ยากว่า เป็นเพราะนโยบาย “ค่ายสีส้ม” แรงและสูงเกินกว่า “ค่ายดูไบ” จะรับเป็นพวกได้
ปิดกับ “ค่ายลุงป้อม” ที่มี “คนเพื่อไทย” ออกมาประกาศไม่สามารถร่วมงานด้วยได้ แม้จะเป็น “พล.อ.ประวิตร” มาแทน “พล.อ.ประยุทธ์” ทำเอา “เฮียเสริฐ” ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ต้องโร่ออกมาแตะเบรก โดยระบุว่า การจะจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคใดนั้น คณะกรรมการบริหารพรรคยังไม่ได้คุยกัน การประกาศไม่ร่วมงานกับพรรคใดนั้นก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว
“พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้จับมือกับพรรคใดตั้งรัฐบาล ต้องรอและเคารพการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งก่อน ถ้าจะจับมือกับพรรคใดตั้งรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน
และต้องมีอุดมการณ์และนโยบายในการแก้ปัญหาประเทศสอดคล้องกัน โดยเฉพาะจุดยืนด้านประชาธิปไตย” เลขาฯ เสริฐ ว่าไว้
สำทับกับกรณี “ปล่อยผี” ที่ “ทักษิณ” พร้อมด้วย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร – เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หลุดข้อกล่าวหาคดีกล่าวหาคดีระบายข้าวแบบจีทูจีภาค 2 ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แบบยกบ้าน และชี้มูลความผิดเฉพาะ “หมอโด่ง” พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ และกลุ่มเอกชน เท่านั้น
ทำให้มีการตีความไปต่างๆ นานาว่า ป.ป.ช.ที่ถูกมองว่าอยู่ในอาณัติของ “นายป้อม” ทอดไมตรีให้กับ “นายห้างดูไบ”
และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เปิดปฏิบัติการพิเศษ บุกจับ “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช คากรมอุทยานฯ พร้อมตั้งข้อหา เรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต โดยมีของกลางเป็นเงินสด 5 ล้านบาทในห้องทำงาน
วงในรู้กันดีว่า “อธิบดีรัชฎา” ถือเป็น “สายตรงตึกไทยคู่ฟ้า” โดยเป็นน้องชายคนเล็กของ “บิ๊กยาว” พล.อ.ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา เตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) เพื่อนร่วมรุ่น และเพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟของ “พล.อ.ประยุทธ์”
เห็นได้จากการที่ “นายกฯ ตู่” ใช้อำนาจสั่งย้าย “อธิบดีรัชฎา” มาพักไว้ที่สำนักนายกฯ ในระหว่างสอบสวนด้วย ทั้งที่ความจริงต้องปล่อยให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นคนสั่งย้ายเข้ามาที่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมื่อ “สายแข็ง” ระดับนี้โดนรวบคาห้องทำงานได้ มองตามกลเกมการเมืองว่า เรื่องนี้ “มีงาน” อย่างแน่นอน และว่ากันว่าเป็นรายการ “เอาคืน” หลังจากที่ “สายลุงตู่” ไล่ต้อนจากกรณีทุนจีนสีเทา “ตู้ห่าว” ที่พาดมาถึงพรรคพลังประชารัฐของ “ลุงป้อม”
เป็นเหตุให้เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ที่กรมอุทยานฯ จู่ๆ “นายกฯ ประยุทธ์” ก็โพล่งถามในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าในคดี “บอส อยู่วิทยา” ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ผู้ต้องหาขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นคดีที่มีชื่อ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา และน้องชาย “พล.อ.ประวิตร” เข้าไปเกี่ยวข้องในสมัยเป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในยุค คสช. กรณีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถขณะเกิดเหตุ
เรียกว่า เล่นกันแรงจนเกินเบอร์ผู้ที่ประกาศตัวเป็น “พี่-น้อง” จนถูกพิเคราะห์ว่า สัมพันธ์ของ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” คงขาดสะบั้นกันไปแล้ว
ทว่า เมื่อถอดรหัสการที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ย้ำความสัมพันธ์กับ “พล.อ.ประวิตร” ตลอดจนการปล่อยภาพลับเพื่อกลบกระแสข่าวความขัดแย้งระหว่างกัน ก็อ่านไม่ยากว่าเป็นการกลบเกลื่อนร่องรอยความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
เพราะรู้ดีว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ แม้จะขึ้นชั้นเป็น “มวยหลัก” ของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ไปแล้ว แต่คงไม่ถึงเบอร์ที่จะต่อกรแย่งชิงการเป็นพรรคอันดับ 1 กับ พรรคเพื่อไทย ที่นอนมาได้เสียงอันดับ 1 ในสนามเลือกตั้งได้
จึงจำเป็นที่ “บิ๊กตู่” ต้องวางยุทธศาสตร์การเมือง ด้วยการย้ำสัมพันธ์อันดีกับ “บิ๊กป้อม” เพื่อ “ล็อก” สถานะ “รวมไทยสร้างชาติ-พลังประชารัฐ” เป็นพรรคพี่-พรรคน้อง เพื่อกันไม่ให้ “พี่ใหญ่ป้อม” ปันใจเป็นอื่น.