“ซีพีเอ็น” เด้งรับวัคซีน-โควิดคลี่คลาย มู้ดจับจ่ายเริ่มขยับ ทยอยเปิด 3 โครงการมิกซ์ยูส “อยุธยา-ศรีราชา-จันทบุรี” รวมมูลค่า 13,900 ล้าน เผยยอดจองพื้นที่เช่าอยุธยา-ศรีราชา 85% ประกาศกวาดกำลังซื้อคนรุ่นใหม่-ไทย-เทศ รอบสารทิศ เพิ่มน้ำหนักดิจิทัลแพลตฟอร์ม ผสมผสานการขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ช่วยร้านค้า ลุ้นปีนี้รายได้ดีดกลับทะลุ 3.8 หมื่นล้าน
นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย และสามารถควบคุมการแพร่ระบาดรอบใหม่ได้ดีขึ้น จากที่ภาครัฐเริ่มฉีดวัคซีน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนในประเทศ ประกอบกับมาตรการของภาครัฐที่ออกมาช่วยกระตุ้นในแง่ของกำลังซื้อและทำให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายมากขึ้น
หากภาครัฐมีความชัดเจนในการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ศูนย์การค้ามีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 95% จากปัจจุบันพบว่ามีจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าเฉลี่ย 75% จากสถานการณ์ที่คลี่คลายมากขึ้น บริษัทประเมินว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ภาพรวมรายได้ของบริษัทในปีนี้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นกลับไปใกล้เคียงกับปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล ศรีราชา บนที่ดิน 27 ไร่ เปิดให้บริการวันที่ 25 กันยายนนี้ และเซ็นทรัล อยุธยา บนที่ดิน 47 ไร่ เปิดให้บริการวันที่ 27 ตุลาคม ซึ่งขณะนี้ทั้ง 2 สาขานี้ มียอดจองพื้นที่เช่าแล้ว 85% ถัดไปในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 มีแผนจะเปิดเซ็นทรัล จันทบุรี บนที่ดิน 46 ไร่ ทั้ง 3 โครงการ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ที่ประกอบด้วย ศูนย์การค้า โรงแรม, ที่พักอาศัย, และคอนเวนชั่นฮอลล์ เป็นต้น รวมมูลค่าโครงการกว่า 13,900 ล้านบาท
โดยทุกโครงการมีความพร้อม และเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดของจังหวัด ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การออกแบบก่อสร้างที่ทันสมัย ผนวกวิถีแห่งเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การร่วมมือกับพันธมิตรที่พร้อมเดินหน้าลงทุนเติบโตไปด้วยกัน และสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ customize ตามจังหวัดต่าง ๆ แผนการตลาดที่เจาะกลุ่มพร้อมรับ digital disruption, การสร้าง community และแผนดันกำลังซื้อสนับสนุนร้านค้าตลอดทั้งปี
“เชื่อมั่นว่า ทั้ง 3 ศูนย์ที่เปิดใหม่ อย่าง เซ็นทรัล อยุธยา มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อ และมีประชากรกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงคน อาทิ อ่างทอง, สิงห์บุรี, ชัยนาท, สุพรรณบุรี เกือบ 2.5 ล้านคน ส่วนศรีราชามีประชากรกว่า 580,000 คน และยังมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน ส่วนสาขาจันทบุรีมีประชากรเป้าหมายกว่า 1.8 ล้านคน ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีศักยภาพอย่างมาก”
นางสาววัลยากล่าวต่อไปว่า การเพิ่มน้ำหนักดิจิทัลแพลตฟอร์ม ผสมผสานการขายทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ มาเป็นเครื่องมือให้พันธมิตรร้านค้าให้เข้าใจพฤติกรรมคอนซูเมอร์ และทำ targeted marketing จากฐานข้อมูลของธุรกิจต่าง ๆ ตลอดจนฐานข้อมูลจากบัตรเข้ามาช่วยซัพพอร์ตการขาย เพื่อช่วยให้แต่ละแบรนด์สามารถทำ CRM ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้ บริษัทได้ใช้งบประมาณในการทำตลาด 200 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมทางการตลาดและเปิดตัวแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนาในปี 2563 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท สะท้อนความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการต้นทุน การปรับแผนการลงทุน รวมถึงการดูแลช่วยเหลือ stakeholders ทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ
ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม อาทิ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักเซอรี่) อีกทั้งยังมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่อีกมากมาย อาทิ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมทุนกับดุสิตธานี และโครงการ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่